

ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มีความเสี่ยงต่อการเกิดก้อนเนื้อร้ายภายในเต้านม โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการอาการผิดปกติดังนี้
-
ผิวหนาขึ้น
-
มีรอยบุ๋มบริเวณเต้านม
-
เกิดสะเก็ดรอบหัวนม
-
มีของเหลวไหลออกจากหัวนม
-
ระคายเคืองหรือเจ็บ
-
หัวนมบุ๋ม
-
เส้นเลือดปูดโปน
-
มีก้อนนูน
-
มีแผลพุพอง
-
ผิวหนังเหมือนเปลือกส้ม
-
มีการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่าง
-
มีก้อนแข็ง
หากมีอาการผิดปกติข้อใดข้อหนึ่ง หรือมากกว่า 1 ข้อ ขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณเตือนภัย ฉะนั้นให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเต้านมอย่างละเอียด
ใครที่มีภาวะเสี่ยงเกิดก้อนเนื้อร้ายภายในเต้านมเต้านม
1. ผู้หญิงอายุ 35 ปี ขึ้นไป
2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวมีก้อนเนื้อร้ายภายในเต้านม
3. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้าหลังอายุ 55 ปี
4. ผู้ที่มีบุตรช้าหลังอายุ 30 ปี หรือ ไม่มีบุตรเลย
5. ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง หรือผู้ที่ได้รับยาคุมกำเนินเป็นเวลานาน
ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนี้
ผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือน คือ 7-10 วัน หลังมีประจำเดือนวันแรก เช่นมีประจำเดือนวันที่ 1 วันที่เหมาะสมในการตรวจเต้านม คือวันที่ 7-10 เป็นต้น เนื่องจากเต้านมอ่อนตัว ทำให้คลำพบสิ่งผิดปกติได้ง่าย
ผู้หญิงที่ไม่มีประจำเดือนแล้ว ให้กำหนดวันที่ต้องการตรวจด้วยตัวเอง เช่น ทุกวันที่ 1 ของเดือน หรือ ทุกวันที่ 10 หรือ 15 ของเดือน
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุข ยังคงรณรงค์ให้ผู้หญิงทุกคนควรสังเกตความผิดปกติของเต้านมเป็นประจำ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป
วิธีการรักษา
-
การผ่าตัด เป็นวิธีรักษาสำหรับผู้ที่มีอาการในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะพิจารณาอย่างละเอียดว่าควรจะผ่าตัดแบบตัดเต้านมออกทั้งหมด หรือผ่าตัดแบบสงวนเต้า โดยจะตัดออกเฉพาะบริเวณที่ก้อนเนื้อร้ายเท่านั้น
-
การฉายแสง เป็นการฉากรังสีเข้าไปบริเวณก้อนเนื้อร้ายเพื่อป้องกันไม่ให้๐ มักจะเป็นการรักษาที่ใช้ร่วมกับการผ่าตัดแบบสงวนเต้าในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ และมีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองด้วย
-
การใช้เคมีบำบัด หรือ คีโมเป็นการบำบัดด้วยยาต้านฮอร์โมน เป็นการให้ยาทำลายเซลล์ก้อนเนื้อร้าย แต่วิธีการนี้จะทำให้อวัยวะส่วนอื่นได้รับผลกระทบไปด้วยส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และผมร่วงได้