top of page

สัญญาณเตือนภัย “เสี่ยง” หากพบสิ่งผิดปกติดังนี้

11062b_f0cd2b56e86443d68d21b6bc12fe055c_
BCM_Update.jpg

ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มีความเสี่ยงต่อการเกิดก้อนเนื้อร้ายภายในเต้านม โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีการอาการผิดปกติดังนี้

  1. ผิวหนาขึ้น

  2. มีรอยบุ๋มบริเวณเต้านม

  3. เกิดสะเก็ดรอบหัวนม

  4. มีของเหลวไหลออกจากหัวนม

  5. ระคายเคืองหรือเจ็บ

  6. หัวนมบุ๋ม

  7. เส้นเลือดปูดโปน

  8. มีก้อนนูน

  9. มีแผลพุพอง

  10. ผิวหนังเหมือนเปลือกส้ม

  11. มีการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือรูปร่าง

  12. มีก้อนแข็ง

หากมีอาการผิดปกติข้อใดข้อหนึ่ง หรือมากกว่า 1 ข้อ ขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณเตือนภัย ฉะนั้นให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเต้านมอย่างละเอียด

ใครที่มีภาวะเสี่ยงเกิดก้อนเนื้อร้ายภายในเต้านมเต้านม

1. ผู้หญิงอายุ 35 ปี ขึ้นไป

2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวมีก้อนเนื้อร้ายภายในเต้านม

3. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้าหลังอายุ 55 ปี

4. ผู้ที่มีบุตรช้าหลังอายุ 30 ปี หรือ ไม่มีบุตรเลย

5. ผู้ที่รับประทานฮอร์โมนเพศหญิง หรือผู้ที่ได้รับยาคุมกำเนินเป็นเวลานาน

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสม ดังนี้

    ผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือน คือ 7-10 วัน หลังมีประจำเดือนวันแรก เช่นมีประจำเดือนวันที่ 1 วันที่เหมาะสมในการตรวจเต้านม คือวันที่ 7-10 เป็นต้น เนื่องจากเต้านมอ่อนตัว ทำให้คลำพบสิ่งผิดปกติได้ง่าย

    ผู้หญิงที่ไม่มีประจำเดือนแล้ว ให้กำหนดวันที่ต้องการตรวจด้วยตัวเอง เช่น ทุกวันที่ 1 ของเดือน หรือ ทุกวันที่ 10 หรือ 15 ของเดือน

    แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุข ยังคงรณรงค์ให้ผู้หญิงทุกคนควรสังเกตความผิดปกติของเต้านมเป็นประจำ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยต่อไป

วิธีการรักษา

  • การผ่าตัด เป็นวิธีรักษาสำหรับผู้ที่มีอาการในระยะเริ่มต้น โดยแพทย์จะพิจารณาอย่างละเอียดว่าควรจะผ่าตัดแบบตัดเต้านมออกทั้งหมด หรือผ่าตัดแบบสงวนเต้า โดยจะตัดออกเฉพาะบริเวณที่ก้อนเนื้อร้ายเท่านั้น

  • การฉายแสง เป็นการฉากรังสีเข้าไปบริเวณก้อนเนื้อร้ายเพื่อป้องกันไม่ให้๐ มักจะเป็นการรักษาที่ใช้ร่วมกับการผ่าตัดแบบสงวนเต้าในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ และมีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองด้วย

  • การใช้เคมีบำบัด หรือ คีโมเป็นการบำบัดด้วยยาต้านฮอร์โมน เป็นการให้ยาทำลายเซลล์ก้อนเนื้อร้าย แต่วิธีการนี้จะทำให้อวัยวะส่วนอื่นได้รับผลกระทบไปด้วยส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และผมร่วงได้

bottom of page